ปฏิจจสมุปบาทเป็นการแสดงความเกิด ดับ แห่งทุกข์ ตามธรรมดาของเหตุปัจจัย เป็นหลักธรรมใหญ่ที่แสดงความเป็นไปของชีวิตไว้ทั้งหมด มีขอบเขตกว้างขวางครอบคลุมหลักธรรมปลีกย่อยในระดับต่างๆอย่างทั่วถึง ถ้าเข้าใจหลักปฏิจจสมุปบาทแล้ว ก็ชื่อว่าเข้าใจชีวิต หรือเข้าใจพระพุทธศาสนาทั้งหมด ดังพุทธพจน์
“… ผู้ใดเห็นปฏิจจสมุปบาท ผู้นั้นย่อมเห็นธรรม ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นย่อมเห็นปฏิจจสมุปบาท …” (มหาหัตถิปโทปมสูตร, 12/346)
ความหมายโดยย่อ
ปฏิจจะ แปลว่า อาศัยกัน, สมุปบาท แปลว่า เกิดขึ้นด้วยกัน
ปฏิจจสมุปบาทจึงแปลว่า การที่สิ่งทั้งหลายอาศัยกันๆ จึงเกิดมี
(คำว่าปฏิจจสมุปบาท, อิทัปปัจจยตา, ปัจจยาการ เป็นไวพจน์แก่กัน ใช้แทนกันได้
อิทัปปัจจยตา แปลว่า ภาวะที่มีอันนี้ๆ เป็นปัจจัย
ปัจจยาการ แปลว่า อาการที่เป็นปัจจัยแก่กัน)
ความสำคัญ
พุทธดำริเมื่อครั้งหลังตรัสรู้ใหม่ๆ ก่อนเสด็จออกประกาศพระศาสนา พระพุทธเจ้าทรงน้อมพระทัยไปในทางที่จะไม่ทรงประกาศธรรม ซึ่งพุทธดำริตอนนี้กล่าวถึงหลักธรรม 2 อย่าง คือ ปฏิจจสมุปบาท และนิพพาน เป็นการแสดงให้เห็นถึงความสำคัญและความยากของหลักธรรมนี้ ในฐานะเป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้และจะทรงนำมาสอนแก่พหุชน
ปฏิจจสมุปบาท เป็นเบื้องหลังของไตรลักษณ์ เป็นกฎเดียวกัน แต่แสดงคนละแง่ คือเป็นการเชื่อม “กฎของธรรมชาติ” (ไตรลักษณ์) กับ “ธรรมชาติของสิ่งมีชีวิต” (ปฏิจจสมุปบาท) พระพุทธเจ้าจึงทรงสอนเรื่อง ปฏิจจสมุปบาท ต่อจากไตรลักษณ์ การเข้าใจปฏิจจสมุปบาทก็จะเป็นการเสริมความเข้าใจไตรลักษณ์ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น และเป็นการยืนยันว่าไม่มีมูลการณ์หรือต้นกำเนิดเดิมสุดของสิ่งทั้งหลาย เช่น พระผู้สร้าง เป็นต้น รวมถึงหักล้างความเชื่อที่ว่าสิ่งต่างๆไม่มี แล้วมามีขึ้น
ปฏิจจสมุปบาท จะเป็นการพิจารณาทั้ง อดีต ปัจจุบัน อนาคต โดยสามารถพิจารณาเป็นช่วงสั้นๆ เช่น แต่ละขณะจิต และขยายออกไปพิจารณาในช่วงที่ยาว เช่น ข้ามภพชาติก็ได้ อย่างไรก็ตามเมื่อพิจารณาช่วงสั้นและยาว ความหมายของธรรมแต่ละข้อก็จะปรับเปลี่ยนไปบ้างในรายละเอียดปลีกย่อย ดังนั้นการแปลความหมายของธรรมแต่ละข้อ จึงไม่ได้ตายตัวมากนัก แต่โดยความหมายหลักๆก็จะไปในแนวเดียวกัน (ในพระอภิธรรมอธิบายแบบแต่ละขณะจิต ในพระสูตร และอรรถกถาส่วนใหญ่อธิบายแบบข้ามภพชาติ)
นอกจากนี้พึงเข้าใจว่า แท้จริงนั้น จากเหตุเดียว จะมีผลหนึ่งเดียวก็หาไม่ จะมีเหตุเดียวผลอเนกก็หาไม่ จะมีผลเดียวจากเหตุอเนกก็หาไม่ แต่ย่อมมีผลอันอเนกจากเหตุอันอเนก แต่ที่อธิบายในปฏิจจสมุปบาท ต่อกันเป็นข้อๆเหมือนเหตุเดียวผลเดียวนั้น เป็นเพราะเลือกเหตุปัจจัยและผลเฉพาะตัวเอก ตัวประธาน
ตัวบท
ประกอบด้วยองค์ประกอบ 12 ข้อ องค์ประกอบเหล่านี้เป็นปัจจัยเนื่องอาศัยสืบต่อกันไปเป็นรูปวงเวียนไม่มีต้น ไม่มีปลาย คือ ไม่มีตัวเหตุเริ่มแรกที่สุด (ไม่ได้เริ่มที่อวิชชา)
(ที่มาของภาพ : หนังสือพุทธธรรม ฉบับปรับขยาย)
คำจำกัดความองค์ประกอบทั้ง 12 ข้อ
(ความหมายช่วงยาวข้ามภพชาติ // ความหมายช่วงสั้นแต่ละขณะจิต)
- อวิชชา : ความไม่รู้แจ้ง ไม่รู้ตามเป็นจริง
- สังขาร : การปรุงแต่งทาง กาย วาจา ใจ อันมีเจตนาเป็นตัวนำ
- วิญญาณ : ปฏิสนธิวิญญาณ // ความรู้ต่ออารมณ์ต่างๆ คือ การเห็น-ได้ยิน-ฯลฯ-รู้เรื่องในใจ
- นามรูป : ส่วนประกอบของชีวิต ทั้งกายและใจ // ส่วนต่างๆของร่างกายและจิตใจที่เปลี่ยนแปลงไปตามสภาพจิตแต่ละขณะ
- สฬายตนะ : ช่องทางรับรู้ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ (อายตนะภายใน) // ภาวะที่อายตนะปฏิบัติหน้าที่โดยสอดคล้องกับสถานการณ์นั้นๆ
- ผัสสะ : การเชื่อมต่อรับรู้อารมณ์ (อายตนะภายใน+อารมณ์+วิญญาณ) ได้แก่ จักขุสัมผัส โสตสัมผัส ฆานสัมผัส ชิวหาสัมผัส กายสัมผัส มโนสัมผัส
- เวทนา : ความเสวยอารมณ์ ความรู้สึกสุข ทุกข์ หรือเฉยๆไม่สุขไม่ทุกข์ (สุขเวทนา ทุกขเวทนา อทุกขมสุขเวทนา)
- ตัณหา : ความทะยานอยากในอารมณ์ทั้ง 6 (รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ธรรมารมณ์), ความทะยานอยากเมื่อได้เสวยอารมณ์ที่ชอบใจหรือไม่ชอบใจ คือ อยากได้ (กามตัณหา) อยากให้คงอยู่ (ภวตัณหา) อยากให้ดับสูญ (วิภวตัณหา)
- อุปาทาน : ความยึดติดถือมั่น ความผูกพันถือค้างไว้ในใจ การถือรวมเข้ากับตัว (กามุปาทาน ทิฏฐุปาทาน สีลัพพตุปาทาน อัตตวาทุปาทาน)
- ภพ : เจตจำนงที่จะกระทำการอันนำให้เกิดกระบวนพฤติกรรม ทั้งดีและชั่ว
- ชาติ : ความเกิด ความปรากฏแห่งขันธ์ทั้งหลาย (ในภพใหม่) // ความปรากฏของรูปนามที่เกิดดับหรือเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอในแต่ละขณะจิต
- ชรามรณะ : ความแก่-ความตาย // ความแก่และความตายของรูปนามแต่ละขณะจิต
อย่างไรก็ดี ในฐานะที่เป็นวัฏฏะ หรือวงจร ความสิ้นสุดจึงไม่มี ณ ที่นี้ กล่าวคือ ชรามรณะย่อมบีบคั้น ทั้งโดยชัดแจ้งและแฝงซ่อนอยู่ในจิตส่วนลึก ดังนั้นจึงพ่วงมาด้วย โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส มีความหมายคือ ความทุกข์ในลักษณะต่างๆ เป็นตัวพลอยผสม เกิดแก่ผู้มีกิเลสเมื่อมีชรามรณะแล้ว เป็นอาการสำแดงออกของการมีกิเลสที่เป็นเชื้อหมักดองอยู่ในจิตสันดาน ซึ่งเป็นปัจจัยให้เกิดอวิชชาหมุนวงต่อไปอีก
วงจรแห่งปฏิจจสมุปบาทตามคำอธิบายแบบในช่วงกว้าง (คือข้ามภพชาติ) นิยมเรียกว่า “ภวจักร” ซึ่งแปลว่าวงล้อแห่งภพ หรือ “สังสารจักร” ซึ่งแปลว่า วงล้อแห่งสังสารวัฏ และจะเห็นได้ว่าคำอธิบายคาบเกี่ยวไปถึง 3 ช่วงชีวิต และเมื่อแยกออกเป็น 3 ช่วงเช่นนี้ย่อมถือเอาช่วงกลาง คือ ชีวิตปัจจุบัน หรือชาตินี้ เป็นหลัก เมื่อถือเอาช่วงกลางเป็นหลัก ก็ย่อมแสดงความสัมพันธ์ในฝ่ายอดีตเฉพาะด้านเหตุ และในฝ่ายอนาคตเฉพาะด้านผล ดังนี้
- อดีตเหตุ = อวิชชา สังขาร
- ปัจจุบันผล = วิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา
ปัจจุบันเหตุ = ตัณหา อุปาทาน ภพ - อนาคตผล = ชาติ ชรามรณะ (+โสกะ ฯลฯ)
มองภาพรวมในอีกแง่หนึ่ง ปฏิจจสมุปบาท เป็นการแสดงวงจรของกิเลส กรรม วิบาก 2 รอบต่อเนื่องกัน ซึ่งคาบเกี่ยว อดีต ปัจจุบัน อนาคต ดังนี้ อวิชชา (อดีตกิเลส) > สังขาร (อดีตกรรม) > วิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา (ปัจจุบันวิบาก) > ตัณหา อุปาทาน (ปัจจุบันกิเลส) > ภพ (ปัจจุบันกรรมกรรม) > ชาติ ชรามรณะ (อนาคตวิบาก)
การย่อปฏิจจสมุปบาทจาก 12 ข้อ ลงเป็น กิเลส > กรรม > วิบาก > กิเลส > กรรม > วิบาก แบบนี้ท่านเรียกว่าเป็นปฏิจจสมุปบาทอย่างง่าย ซึ่งถ้าทำความเข้าใจภาพรวมในลักษณะอย่างนี้ก่อน ก็จะจับหลักการและเข้าใจรายละเอียดทั้งหมดได้ง่ายขึ้น
(ที่มาของภาพ : หนังสือพุทธธรรม ฉบับปรับขยาย)
จากคำอธิบายขององค์ประกอบแต่ละข้อ จะเห็นความหมายที่คาบเกี่ยวกันขององค์ประกอบบางข้อ ซึ่งความหมายไปในแนวเดียวกันต่างที่ขอบเขตการเน้น ซึ่งจัดเป็นกลุ่มได้ดังนี้
- อวิชชา กับ ตัณหา อุปาทาน : ให้ความหมายอย่างเดียวกัน แต่การที่ยกอวิชชาขึ้นในฝ่ายอดีต และยกตัณหา อุปาทาน ขึ้นในฝ่ายปัจจุบัน เนื่องจาก อวิชชา ต่อเนื่องมาจาก โสกะ ฯลฯ ส่วนตัณหา ต่อเนื่องมาจากเวทนา จึงเป็นกิเลสตัวเด่นตรงกับกรณีนั้นๆ (ไม่ใช่ว่าปัจจุบันไม่มีอวิชชา หรืออดีตไม่มีตัณหา อุปาทาน)
- สังขาร กับ ภพ : สังขาร กับ กรรมภพ ความหมายใกล้เคียงกัน คือ เจตนาที่เป็นตัวการในการทำกรรม, สภาพที่ปรุงแต่งด้วยเจตนา เป็นตัวการสำคัญที่ปรุงแต่งให้เกิดในภพชาติต่างๆ
- วิญญาณ ถึง เวทนา กับ ชาติ ชรามรณะ (+ โสกะ ฯลฯ) : วิญญาณ ถึง เวทนา แสดงไว้เป็นอย่างๆเพราะมุ่งกระจายกระบวนธรรมออกให้เห็นอาการที่องค์ประกอบต่างๆของชีวิต เข้าสัมพันธ์กันจนเกิดองค์ประกอบอื่นๆต่อไป ส่วน ชาติ ชรามรณะ เป็นคำพูดแบบสรุป ต้องการเน้นในแง่การเกิดขึ้นของทุกข์ ให้เห็นจุดที่เชื่อมโยงกลับเข้าสู่วงจรอย่างเดิมได้อีก
การอธิบายหลักปฏิจจสมุปบาทมุ่งให้เข้าใจกระบวนธรรมที่เป็นไปอยู่ตามธรรมชาติเป็นสำคัญ เพื่อมองให้เห็นสาเหตุและจุดที่จะต้องแก้ไข ส่วนรายละเอียดของการแก้ไขหรือวิธีปฏิบัติ ในส่วนของการตัดวงจรที่ตัณหา และอวิชชา ไม่ใช่เรื่องของปฏิจจสมุปบาทโดยตรง แต่เป็นเรื่องของมรรค
ความในพระสูตร เล่าถึงการตรัสรู้สัมมาสัมโพธิญาณของพระพุทธเจ้าว่า ทรงสืบสาวว่า สภาพจิตที่เกิดขึ้นเวลานี้ ที่เป็นสุขเวทนา หรือ ทุกขเวทนา นั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร แล้วพระองค์ก็ทรงสืบสาวหาเหตุปัจจัย ด้วยการตั้งคำถามแก่พระองค์เอง แล้วค้นหาสังเกตว่า ที่เวทนานี้เกิดขึ้นนั้น เพราะอะไรมี เวทนานี้จึงมี เมื่อทรงพิจารณาสืบสาวไป ก็ทรงเห็นว่า เพราะผัสสะมี เวทนาจึงมี จากนั้นพระองค์ก็ทรงตั้งคำถามแก่พระองค์เองต่อไปอีกว่า แล้วที่ผัสสะนี้มีล่ะ เพราะอะไรมี ฯลฯ พระองค์ทรงตรวจสอบสังเกตตามดูความเป็นไปในพระทัยของพระองค์เอง สืบสาวย้อนลำดับต่อไปๆ จนค้นพบความจริงตลอดสายของมัน
ปฏิจจสมุปบาทแบ่งเป็นสองแบบ คือ สมุทยวาร (ทุกขสมุทัย, สายเกิดทุกข์, อนุโลมปฏิจจสมุปบาท) และ นิโรธวาร (ทุกขนิโรธ, สายดับทุกข์, ปฏิโลมปฏิจจสมุปบาท)
พระพุทธเจ้าเมื่อทรงแสดงหลักปฏิจจสมุปบาทสมุทยวาร อันเป็นที่มาของปัญหาหรือความทุกข์แล้ว ก็มิได้ทรงหยุดอยู่เพียงนั้น แต่ได้ทรงแสดงปฏิจจสมุปบาทนิโรธวาร อันเป็นกระบวนธรรมฝ่ายดับทุกข์ อีกด้วย เป็นการชี้ให้เห็นว่า ทุกข์หรือปัญหาของมนุษย์เป็นสิ่งที่แก้ไขได้ ยิ่งกว่านั้น ยังทรงชี้ต่อไปถึงภาวะที่เลิศล้ำสมบูรณ์ ซึ่งมนุษย์สามารถมีชีวิตที่ดีงามและเป็นสุขแท้จริงได้ โดยไม่ต้องฝากตัวขึ้นต่อปัจจัยภายนอก ไม่ต้องเอาสุขทุกข์ของตนไปพิงไว้กับสิ่งทั้งหลายที่แม้แต่ตัวมันเองก็ทรงตัวเอาไว้ไม่ได้เป็นธรรมชาติที่ต้องแปรปรวนไป
แสดงการตัดวงจรปฏิจจสมุปบาทที่ขั้วอวิชชา
อวิชชาดับ > สังขารดับ > วิญญาณดับ > นามรูปดับ > สฬายตนะดับ > ผัสสะดับ > เวทนาดับ > ตัณหาดับ > อุปาทานดับ > ภพดับ > ชาติดับ > ชรามรณะ + โสกะ ฯลฯ อุปายาสดับ = ทุกขนิโรธ
แสดงการตัดวงจรปฏิจจสมุปบาทที่ขั้วตัณหา
อวิชชา > สังขาร > วิญญาณ > นามรูป > สฬายตนะ > ผัสสะ > เวทนา > ตัณหาดับ> อุปาทานดับ > ภพดับ > ชาติดับ > ชรามรณะ + โสกะ ฯลฯ อุปายาสดับ = ทุกขนิโรธ
บ่อยครั้งที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง ทุกขนิโรธ โดยชูตัณหาเป็นตัวเด่น คือ เมื่อเสวยเวทนาแล้ว ไม่เกิดตัณหา ก็เพราะมีความรู้เท่าทันสภาวะสังขารของสิ่งที่เสพเสวย คือมีวิชชารองเป็นพื้นอยู่ เมื่อไม่มีอวิชชาสัมผัส เวทนาที่เกิดขึ้นก็ไม่นำไปสู่ตัณหา ดังนั้นที่ว่าตัณหาดับ จึงบ่งถึงอวิชชาดับอยู่แล้วในตัว การที่ทรงแสดงแบบนี้ ก็เพื่อให้เห็นภาพในทางปฏิบัติได้ง่ายขึ้น
พระอรหันต์ทั้งหลายเสวยอารมณ์ด้วยจิตใจที่เป็นอิสระ ด้วยปัญญาที่รู้เท่าทันธรรมชาติของมัน ไม่ถูกกิเลสครอบงำหรือชักจูง ไม่ถูกเผาลนด้วยตัณหา และไม่มืดมัวด้วยอวิชชา เป็นอยู่ด้วยจิตใจที่โปร่งโล่ง ผาสุข เป็นอิสระ เมื่อไม่มีกิเลสชักนำไปสู่ภพ กระบวนธรรมสังสารวัฏฏ์ก็สิ้นสุดลง เข้าสู่วิวัฏฏ์ (นิพพาน) บรรลุภาวะแห่งความดับทุกข์ เป็นผู้มีชัยต่อปัญหาชีวิต มีความสุขอย่างแท้จริง อันเป็นประโยชน์สูงสุดที่มนุษย์ควรจะได้ คุ้มค่ากับการที่ได้เกิดมามีชีวิต
อาจแสดงแตกต่างกันออกไปได้อีกตามประเภทแห่งจิต เช่น
- โลกุตรจิต “อวิชชา” ถูกแทนที่ด้วย “กุศลมูล” “ตัณหา” ถูกแทนที่ด้วย “ปสาทะ (ความผ่องใสแช่มชื่น)” ต่อด้วย “อธิโมกข์ (ความน้อมดิ่งไป ความปลงใจ)” จบที่ “ชรามรณะ” แต่เป็นการเกิดพร้อมแห่งธรรมเหล่านี้ ไม่ใช่การเกิดพร้อมแห่งกองทุกข์
- อกุศลจิต “ตัณหา” อาจถูกแทนที่ด้วย “ปฏิฆะ” (ความขุ่นเคืองใจ), “อุทธัจจะ” (ความฟุ้งซ่าน) เป็นต้น แล้วต่อด้วย “อธิโมกข์” แล้วต่อด้วย “ภพ” หรืออาจแทน “ตัณหา” “อุปาทาน” ด้วย “วิจิกิจฉา” (ความลังเลสงสัย) แล้วต่อด้วย “ภพ” เลยก็ได้ เป็นต้น (เปลี่ยนลักษณะของกิเลส)
คุณค่า
- ความเป็นไปของโลกเป็นไปตามกระแสแห่งเหตุผล ไม่เป็นไปโดยลอยๆ โดยบังเอิญ ดังนั้นผลที่ต้องการจึงต้องสำเร็จด้วยการลงมือกระทำ
- การกระทำเหตุปัจจัยเพื่อให้ได้ผล หรือเกิดประโยชน์ที่ต้องการ ต้องอาศัยความรู้ความเข้าใจในตัวเหตุปัจจัยอย่างถูกต้อง ปัญญาจึงเป็นคุณธรรมสำคัญ
- ความเข้าใจในกระบวนการของธรรมชาติว่าเป็นไปตามกระแสแห่งเหตุปัจจัย ย่อมช่วยลดหรือทำลายความหลงผิดที่เป็นเหตุให้เข้าไปยึดมั่นถือมั่นในสิ่งทั้งหลายว่าเป็นตัวตนของตนลงได้
“เมื่อใด อริยสาวกรู้ทั่วถึงความเกิดแล้วความดับของโลกตามที่มันเป็นอย่างนี้ อริยสาวกนี้เรียกว่าเป็นผู้มีทิฏฐิสมบูรณ์ก็ได้ ผู้ลุถึงสัทธรรมนี้ก็ได้ ผู้ประกอบด้วยเสขญาณก็ได้ ผู้อยู่ชิดประตูอมตะก็ได้” (อริยสาวกสูตร, 16/187)
หลักปฏิจจสมุปบาท แสดงความจริงของธรรมชาติให้เห็นว่า สิ่งทั้งหลายมีลักษณะเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นไปตามกระบวนการแห่งเหตุปัจจัย ไม่มีปัญหาในเรื่องที่ว่า สิ่งทั้งหลายยั่งยืนหรือขาดสูญ โดยนัยนี้ผู้ได้เห็นปฏิจจสมุปบาทชัดเจนแล้ว ชื่อว่าเป็นผู้มีสัมมาทิฏฐิ ย่อมเห็นโลกตามที่มันเป็น ย่อมพ้นจากมิจฉาทิฏฐิต่างๆ เช่น สัสสตทิฏฐิ (เห็นว่ามีอัตตาคงอยู่เที่ยงแท้ยั่งยืน), อุจเฉททิฏฐิ (เห็นว่าขาดสูญ), ความเชื่อว่าสิ่งทั้งหลายมีมูลการณ์หรือเหตุต้นเค้าเดิมสุด (จากไม่มี ก็เกิดมีขึ้น), ความเข้าใจว่ามีสิ่งวิเศษนอกเหนือธรรมชาติ เป็นต้น